Don’t Knock Twice | เคาะสองที อย่าให้ผีเข้าบ้าน (2016)

Don't Knock Twice (2016)

Don’t Knock Twice เด็กๆชาวตะวันตกมีการละเล่นพิเรนทร์อย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมกันพอสมควรคือ การแกล้งไปกดออก หรือ “เคาะประตูบ้าน” ของคนแปลกหน้า ก่อนที่จะรีบวิ่งหนีไปซ่อนตัวแอบมองเจ้าของบ้านที่หัวร้อนออกมาเปิดประตูแล้วไม่พบใคร พร้อมกับหัวเราะคิกคัก กันอย่างสนุกสนาน บางครั้งพวกเขาก็จะแกล้งบ้านหลังเดิมซ้ำๆ ด้วยความคึกคะนอง แต่ถ้าหากการแกล้งเหล่านี้ กลายมาเป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวสุดสยองขวัญ ที่รับรองว่าคงไม่มีใครอยากที่จะทำอย่างแน่นอน และนี้คือภาพยนตร์เรื่อง Don’t Knock Twice จาก เว็บหนังHD ค่ะ

Don't Knock Twice

Don’t Knock Twice เป็น หนังสยอง Horror ที่ดัดแปลงจากเรื่องเล่าท้องถิ่น หรือพวกตำนานพื้นบ้าน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับหนังอย่าง Candyman และ The Blair Witch ซึ่งมาคราวนี้ก็เอาพวกแม่มดมาเล่นกันอีก ว่าด้วยครอบครัวสองแม่ลูกอย่าง เจส (เคที) และ โคลอี้ (ลูซี่) ซึ่งได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากเจสได้ทิ้งลูกไว้ที่สถานสงเคราะห์ตั้งแต่เมื่อ 9 ปีก่อนเพราะเธอมีปัญหาบางอย่างที่ไม่อาจเลี้ยงดูลูกสาวได้ แน่นอนโคลอี้กลายเป็นเด็กมีปัญหาที่ต่อต้านเจสซึ่งปัจจุบันได้ดิบได้ดีจากอาชีพศิลปินนักปั้นของเธอ

เจสเริ่มฐานะมั่นคงเลยมาขอรับโคลอีลูกสาวกลับไปอยู่ด้วยแต่โคลอีปฏิเสธ ก่อนหน้านี้เจสมีปัญหาติดยาจนไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ ปัจจุบันเจสเป็นนักปั้นแต่งงานใหม่กับเบ็นสามีใหม่ โคลอีออกไปเที่ยวกับแดนนีจากนั้นทั้งคู่ก็ไปเคาะประตูบ้านแมรีหญิงชราที่ถูกพวกโคลอีกล่าวหาว่าจับตัวเพื่อนอีกคนไปจนสุดท้ายหญิงชราทนความกดดันไม่ไหวฆ่าตัวตาย ประเด็นหลักของเรื่องคือการเคาะประตูสองครั้งคือการปลุกปิศาจ โคลอีกลับถึงบ้านพักก็วิดีโอคอลกับแดนนี โคลอีได้ยินเสียงเคาะประตูเลยไปดูระหว่างนั้นแดนนีถูกเงาลึกลับลากตัวหายไป โคลอีตัดสินใจย้ายไปอยู่กับแม่ โคลอีเริ่มเห็นภาพหลอน เจสเองก็ฝันร้ายเห็นหญิงชราปาดคอฆ่าตัวตายต่อหน้า โคลอีเริ่มเล่าเรื่องแมรีที่พวกโคลอีคิดว่าเป็นแม่มดจับตัวเพื่อนไป ต่อมาไทราที่มาเป็นแบบปั้นให้เจสพอเห็นโคลอีก็รีบขอตัวกลับพร้อมกับเตือนเจสเรื่องโคลอีมีสิ่งชั่วร้ายคอยตามอยู่ เจสเริ่มสอนโคลอีปั้นงานศิลปะแล้วอยู่ๆผลงานของเจอก็ถูกทำลายโดยสิ่งลึกลับแต่เจสเข้าใจผิดว่าเป็นโคลอี 

คืนนั้นโคลอีถูกปิศาจทำร้ายแต่เจสช่วยไว้ได้ เจสกับโคลอีไปหาไทรา ไทราบอกว่าแมรีถูกพวกโคลอีใส่ร้ายว่าเป็นแม่มดจนฆ่าตัวตายแค้นเลยมาตามล้างแค้นโคลอี โคลอีสติแตกวิ่งหนีหายไป เจสพยายามตามหาลูกจนเริ่มสงสัยตำรวจที่ทำคดีเพื่อนโคลอีแถมยังสินทกับเด็กๆบ้านพัก ต่อมาโคลอีถูกจับตัวหายไปต่อหน้าเจส เจสงัดเข้าบ้านแมรีถูกตะปูตำที่เท้าต่อมาก็ถูกตำรวจจับแต่ก่อนถูกคุมตัวขึ้นรถเจสรีบวิ่งเคาะประตู เจสทิ้งข้อความเลือดไว้ให้ตำรวจก่อนจะหนีออกไปตามหาโคลอี เจสช่วยโคลอีได้สำเร็จแต่ตำรวจที่ตามมาดันเคาะประตูสองครั้งเลยถูกจับตัวไป เจสกับโคลอีกลับบ้านเจอแต่ข้าวของแฟนเจสที่ถูกไทราฆ่าตาย จริงๆแล้วไทราเป็นทาสปิศาจที่ต้องการหลุดพ้นจากอำนาจมีอยู่สองทางคือฆ่าตัวตายกับหาเหยื่อมาเป็นทาสแทนซึ่งก่อนหน้านี้ไทรามอบสร้อยคอสัญลักษณ์ของทาสให้กับเจส สร้อยคอร้อนจนทิ้งรอยไหม้ไว้บนร่างกายเจสเท่ากับว่าเจสกลายเป็นทาสแทนไทรา เจสได้ยินเสียงเคาะประตูสองครั้งก่อนหนังจะจบแบบไฟจะดับมืด

รีวิวหนัง โดยรวมก็ต้องบอกว่าเป็นหนังสยองขวัญตามมาตรฐานเลยค่ะ ในพลอตด้านดราม่านั้นก็ขับเน้นพอประมาณแต่ก็ไม่ได้กะเอาดีในด้านนี้จนเด่นนำ พลอตด้านสยองขวัญก็ไม่ได้มีฉากหลอกหลอนหรือแหวะ ๆ ให้ติดตาอะไร จังหวะตกใจมีบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับสะดุ้งแรง ส่วนที่เด่นของหนังเลยคงเป็นหนังสยองขวัญแนวสืบสวนนั่นล่ะค่ะ ที่คนดูต้องคิดตามเดาตามอยู่เรื่อย ๆ จนถึงบทสรุปที่ช่วยปิดช่องโหว่ในบางฉากได้ดี กลายเป็นออกทะเลแล้วเข้าฝั่งอย่างสวยงาม ดูเอาเพลิน ๆ ได้สนุก แต่ก็ไม่มีอะไรให้บูชาครับ สำหรับใครชอบเดาตอนจบของหนังนี่แนะนำเลยค่ะ

Legend Of Zorro | ศึกตำนานหน้ากากโซโร (2005)

Legend-Of-Zorro (2005)

Legend Of Zorro หลังจาก The Mask of Zorro ในปี 1998 ประสบความสำเร็จทั้งคำวิจารณ์และรายได้ที่เก็บเงินไปทั่วโลกราว 250 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้าง 95 ล้านดอลลาร์ จึงไม่แปลกใจที่ค่าย เว็บดูหนัง Sony Studio ร่วมมือกับ Amblin Entertainment จะสร้างหนังภาคต่อออกมาให้เราได้ชมแต่แฟนหนังต้องรอคอยถึง 7 ปีถึงจะได้ดูภาคต่อของโซโร โดยภาค 2 นี้ทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 146 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้าง 75 ล้านดอลลาร์ ในชื่อ The Legend of Zorro หรือชื่อไทย ศึกตำนานหน้ากากโซโร

Legend-Of-Zorro

The Legend of Zorro ภาพยนตร์แนว แอคชั่น Action เป็นผลงานการกำกับของ มาร์ติน แคมบ์เบล เรื่องย่อ ดอน อะเลจันโดร เดอ ลา เวก้า (แอนโตนิโอ แบนเดอราส) และ เอเลน่า (แคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์) ได้แต่งงานกันและมีลูกชายอายุ 10 ขวบชื่อโจควิน (เอเดรียน อลองโซ) ซึ่งถึงแม้อะเลจันโดรจะยังคงสวมหน้ากากโซโรออกปกป้องผู้ยากไร้และพิทักษ์ชาวเมืองแคลิฟอร์เนียจากพวกเจ้าขุนมูลนายหน้าเลือดแต่มาบัดนี้ความรู้สึกของเขากลับถูกแบ่งออกเป็นสองระหว่างสำนึกในหน้าที่และความปรารถนาที่อยากจะมีชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป

 

ในปี 1850 แคลิฟอร์เนียกำลังลงคะแนนเสียงว่าจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในรัฐของสหรัฐอเมริกาหรือไม่ มือปืนป่าคนหนึ่งนามว่า เจคอบ แม็กกิฟเว่น พยายามขโมยบัตรเลือกตั้งแต่ โซโร ไล่ตามเขาและยึดคะแนนเสียงกลับมาได้ ในระหว่างต่อสู้เจคอบดึงหน้ากากออกและเผยว่าเขาคือ ดอน อเลฮานโดร เดอลา เวก้า โซโร เมื่อกลับมาที่คฤหาสน์ เขาได้รับการต้อนรับจาก เอเลน่า ภรรยาที่รักของเขา ทั้งคู่ทะเลาะกันเพราะเอเลน่าอยากให้เขาเลิกเป็นโซโร เช้าวันต่อมาเอเลน่าพบกับ พิงเกอร์ตัน ที่บอกเธอว่ารู้ความลับของโซโร ไม่นานดอน ก็ได้รับเอกสารขอหย่าจากเธอซึ่งแน่นอนว่าคือการบังคับให้ทำ หลังจากหย่าร้างเขาก็ย้ายไปอยู่ห้องพักเล็กๆ และจมอยู่กับความเศร้า วันหนึ่งเขาถูกชักชวนให้ไปงานเลี้ยงไร่องุ่นของเศรษฐีชื่อ อาร์มันด์ ซึ่งเป็นสามีใหม่ของเอเลน่า ระหว่างจัดงานมีการระเบิดเกิดขึ้นใกล้ๆ กับคฤหาสน์อย่างปริศนา 

เจคอบและลูกสมุนก็บุกโจมตีงานเลี้ยง โซโรสามารถปกป้องภรรยาและลูกน้อยได้ เวลาต่อมาโซโรเดิมพันกับเจคอบที่คฤหาสน์ของอาร์มันด์ ซึ่งเผยว่าอาร์มันด์ต้องการที่ดินของชาวนาเพื่อสร้างทางรถไฟจึงปลุกปั่นสถานการณ์ให้รุนแรงและอาร์มันด์คือหัวหน้าสมาคมลับอัศวินแห่งอารากอนซึ่งเคยปกครองยุโรปในอดีต อาร์มันด์วางแผนที่จะทำให้อเมริกาถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามและเข้าสู่ความโกลาหล วันหนึ่งพิงเกอร์ตัน ตัดสินบอกความจริงกับโซโรว่าเขาแปล็กเมล์เอเลน่าให้หย่ากับโซโรและบังคับให้เธอแต่งงานกับอาร์มันด์เพื่อเข้าให้ข้อมูลลับ เนื่องจากแคลิฟอร์เนียยังไม่เป็นรัฐ พวกเขาจึงไม่สามารถทำการสอบสวนทางกฎหมายกับเขาได้ พิงเกอร์ตันรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถทำภารกิจนี้ได้คนเดียว จึงต้องดึงตัวโซโรมาอีกแรง โซโรจึงต้องทำภารกิจช่วยเหลือเมืองเกิดจากคนชั่วที่หวังจะใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อปกครองรัฐแคลิฟอร์เนีย พร้อมกับช่วยเหลือและปลดปล่อยภรรยาให้เป็นอิสระเพื่อที่จะได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกับเขาอีกครั้ง

รีวิวหนัง ในขณะที่ฮีโร่คนอื่นๆไปกันได้ไกล The Legend of Zorro ยังเป็นการย่ำอยู่กับที่ของหนังฮีโร่ สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบมาตั้งแต่ The Mask of Zorro เชื่อว่าดูภาคนี้ก็คงไม่ทำให้ชอบมากขึ้น สำหรับคนที่เคยชื่นชอบ The Mask of Zorro มาก่อนมาดูภาคนี้ น้อยคนที่จะชอบมากกว่าภาคที่แล้ว มิหนำซ้ำน่าจะมีคนดูจำนวนหนึ่งที่เริ่มรู้สึกจำเจจนสนุกกับมันน้อยลง แม้ว่า Zorro จะสามารถรักษาสถานภาพของหัวหน้าครอบครัวและฮีโร่ในจอได้ แต่กับคนดูหากยังไม่เดินหน้าไปไหนเช่นนี้ คาดว่าสถานภาพเดิมที่เคยมีจะอยู่ได้ไม่คงนาน ที่อยากจะเห็น คือ การเปลี่ยนมือผู้กำกับดูบ้าง สำหรับภาคนี้จะดูก็ได้แต่ไม่ได้ดูก็ไม่น่าเสียดาย

Broken Arrow | คู่มหากาฬ หั่นนรก (1996)

 

แม้ผลงานเรื่องแรกในฮอลลีวู้ดของ John Woo อย่าง Hard Target จะไม่ค่อยทำเงินสักเท่าไร แต่อย่างน้อยลีลาการบู๊เท่ห์ ยิงแบบสโลว์ ถือปืนสองมือ สไลด์ตัวไปลั่นกระสุน แอ็กชันทั้งหมดที่ Woo พยายามถ่ายทอดมันก็ยังเข้าตาคนดูกลุ่มหนึ่ง รวมถึงผู้สร้างหลายคนก็จับตามองค่ะเพราะของแบบนี้ถือว่าสดพอสมควรสำหรับฮอลลีวู้ดยุคนั้น อันทำให้เขาได้โอกาสที่ 2 ในการทำ หนังชนโรง สัญชาติอเมริกันเรื่องนี้ค่ะ 

Broken-Arrow (1996)

สงครามระหว่างคนดี และคนเลว การกลายพันธุ์ของคนดี และความสัมพันธ์ของคน สองขั้วจะลงเอยกันอย่างไร จอห์น วู ผู้กำกับ แอคชั่น Action เลือดมังกรคนนี้ ได้ถ่ายถอดผลงานออกมาได้ถูกใจคอหนังบู๊ได้ไม่เคยผิดหวัง ในภาพยนตร์ Broken Arrow หรือชื่อไทยคู่มหากาฬ หั่นนรก

Broken-Arrow

เป็นเรื่องราวความขัดแย้ง ระหว่างสองนักบินรบหนุ่ม (จอห์น ทราโวลตา และ คริสเตียน สเลเตอร์) ที่สุดท้ายเราคงเดาออกว่า ก็ต้องเป็นการต่อสู้ ระหว่างธรรมะและอธรรม เริ่มจากทั้งคู่ ได้เริ่มฝึกบินในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่าหนึ่งในทั้งสองได้แอบซุกซ่อน หัวรบนิวเคลียร์ไปด้วยกับการฝึกครั้งนั้น บทบาทของ จอห์น ทราโวลตร้าจะเป็นคนที่ค่อนข้างหัวรุนแรง เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงเป็นตัวชงเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้น โดย คริสเตียน สเลเตอร์จะเป็นไก่รองบ่อนมาเรื่อยๆในช่วงแรก เหตุการเริ่มไม่ค่อยเวอร์ค เมื่อทราโวลต้า เครื่องบินเริ่มขัดข้อง เขาถูกให้บังคับให้ดีดตัวเองออกมาจากเครื่อง แผนของทราโวลต้า คือต้องการครอบครอง หัวรบนิวเคลียร์ไว้ ภยันตรายที่จะอุบัติขึ้นเป็นเรื่องที่ สเลเตอร์ รับไม่ได้ แผนการขัดขวางต่อมาจึงอุบัติขึ้น ทั้งคู่จึงต้องเข้าห้ำหั่นกันเพื่อได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

พันตรีวิค “ดีค” ดีกินส์ (ทราโวลต้า) และผู้กองไรลี่ย์ เฮลล์ (สเลเตอร์) คือสองนักบินแห่งกองทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งพวกเขาได้รับมอบหมายภารกิจพิเศษในการขนหัวรบนิวเคลียร์ 2 ลูกไปกับเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ล่าสุด B-3 เพื่อทดสอบการแพร่กระจายคลื่นกัมมันตภาพรังสีในระหว่างการบินเหนือทะเลทรายรัฐยูทาห์ แต่แล้วภารกิจกลับผิดพลาดเมื่อวิคคิดที่จะขโมยหัวรบฯ และพยายามฆ่าไรลีย์ พร้อมกับนำเครื่องบินโหม่งพื้นดินเพื่อทำลายทิ้ง โชคดีที่หัวรบทั้งสองหัวนั้นไม่ได้รับความเสียหายและนักบินทั้งสองต่างก็ดีดตัวออกจากเครื่องได้ก่อนที่เครื่องจะตก ต่อมาวิคและลูกสมุนมือขวา เอ็มเม็ต เคลลี่ (ลอง) ก็ได้วางแผนที่จะขโมยหัวรบทั้งสองหัวนี้เพื่อจุดระเบิดในเมืองซอลต์เลค ซิตี้ ถ้าหากว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ยอมจ่ายเงินค่าไถ่ $250,000,000 เหรียญตามคำขู่ ในขณะเดียวกัน ไรลี่ย์ที่กำลังหลงทางอยู่กลางทะเลทราย ก็ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่พาร์ค เรนเจอร์สาวสวยคนหนึ่ง เทอร์รี่ คาร์ไมเคิล (แมทธิส) ผู้ซึ่งยอมร่วมมือกับไรลี่ย์ในการหยุดยั้งวิคและลูกสมุน ต่อมาพวกเขาถึงรู้ว่าวิคกำลังจะขนย้ายหัวรบไปทางรถไฟเพื่อจุดระเบิดที่ซอลต์เลค ซิตี้ แต่พวกมันก็มีเพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้นเนื่องจากได้จุดระเบิดไปแล้วที่เหมืองทองแดงร้างซึ่งใช้เป็นที่ซ่อนลับ ไม่นานนักพวกเขาจึงรู้ว่าวิคคิดที่จะจุดระเบิดหัวรบลูกสุดท้ายในอีกที่หนึ่ง กลางเมืองเดนเวอร์, รัฐโคโลราโด แล้วพวกเขาจะหยุดแผนการณ์สุดร้ายกาจนี้ได้ทันเวลาหรือไม่ เพื่อนๆต้องไปดูต่อเองค่ะ

เป็น หนังฝรั่ง ลงสูตรสำเร็จค่ะ ผู้ร้ายหมายขโมยหัวรบ พระเอกก็ต้องยับยั้ง มีการไล่ล่าผลัดกันเป็นต่อ ก่อนจะลงเอยด้วยการปะทะกันขั้นเด็ดขาดซึ่งก็คงเดาได้ไม่ยากค่ะว่าใครจะอยู่ใครจะไป ตัวหนังนั้นถือว่าดูได้เรื่อยๆ เพลินพอประมาณแต่ยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยมเจ๋งแจ๋วเท่าผลงานเก่าๆ ของ Woo อย่าง โหด เลว ดี หรือ ทะลักจุดแตก จุดเด่นของเรื่องคงต้องยกให้การพลิกมาแสดงบทร้ายของ Travolta ที่ตอนแรกทีมงานเปิดโอกาสให้เขาเลือกเลยว่าจะแสดงเป็นใครก็ได้ระหว่างไรลี่ย์กับวิค และเขาก็เลือกวิคซึ่งเป็นตัวร้ายค่ะ พี่แกก็เล่นได้เนียนจริงๆ ดูเก๋า ร้ายกาจ หลงตัวเอง ซึ่งตอนแกแสดงคงสนุกน่าดู ได้ยวนได้กวนเต็มคราบขนาดนั้น แล้วยังได้บทพูดคมๆ ร้ายๆ หลายรอบตลอดเรื่องเลยค่ะ

Spider Man No Way Home | สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม (2021)

Spider-Man-No-Way-Home- (2021)

Spider Man No Way Home สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาสปอยหนังมาร์เวล สำหรับใครที่พลาดภาพยนตร์เรื่อง Spider Man: No Way Home โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นหนังที่เปิดตัวสร้างรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ของค่าย เว็บหนังออนไลน์ มาร์เวล เป็นอันดับ 2 รองจาก Avengers: Endgame เรื่องราวของไอ้แมงมุมจะเป็นอย่างไร เราไปอ่านกันค่ะ

Spider-Man-No-Way-Home

Spider Man No Way Home ภาพยนตร์แนวไซไฟ แอคชั่น Action กำกับโดย “จอน วัตต์ส” ได้เล่าเรื่องราวต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในภาคก่อน ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ และคนรอบๆ ตัวเขาได้ตกที่นั่งลำบาก เนื่องจาก มิสเทอริโอ ได้ทิ้งบอมบ์ชุดใหญ่เอาไว้ ด้วยการเปิดเผยตัวตนที่แท้ของเขาว่าเป็นใคร ทำให้เขาต้องโร่ไปหา ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ เพื่อช่วยแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น โดยหวังว่าจะบลบความทรงจำคนทั้งโลก เพื่อให้ลืมว่าใครคือไอ้แมงมุมแต่สิ่งไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นระหว่างการร่ายมนตร์คาถา เพราะเขาทำให้หมอเสียสมาธิ กลับกลายเป็นว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเป็นหายนะกว่าเดิม เพราะเป็นการกำเนิดมัลติเวิร์ส หรือ พหุจักรวาล โลกคู่ขนานต่างๆ ที่ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์และวายร้ายเก่าๆ ที่เคยต่อกรด้วยกันมา และทำให้ทุกอย่างแย่ลงและอันตรายเกินกว่าที่จะรับมือได้ด้วยตัวเอง

หลังจากที่ตัวร้ายได้เผยแพร่เกี่ยวกับสไปเดอร์แมน ว่าภายใต้ความจริงแล้วเป็นพระเอก ทำให้เขานั้นต้องถึงกับปวดหัวเลยทีเดียว ทำให้ผู้คนต่างมารุมถามนางเอก ว่าเธอนั้นเป็นแฟนของสไปเดอร์แมนหรือไม่ จากนั้นพระเอกก็ได้รีบลงไปช่วยนางเอก เพื่อหลบหนีจากผู้คน พระเอกจึงได้พาเธอมาหลบอยู่ที่ห้องของเขา เมื่อมาถึงห้องก็พบป้าเมย์กำลังจะบอกเลิกแฟนของเธออยู่ แต่แล้วแฟนของเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากในห้อง เขาจึงรีบเดินไปดูแล้วพบว่า พระเอกกับนางเอกอยู่ด้วยกัน ซึ่งพระเอกเขานั้นไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ทำให้เขานั้นตกใจ แต่ยังไม่ทันไรข่าวตามช่องก็ได้ประกาศว่า พระเอกนั้นเป็นสไปเดอร์แมน และ ในข่าวบอกว่าพวกเขาเป็นอาชญากรรม ทำให้พระเอกถึงกับกุมขมับ และด้านนอกก็มีพวกนักข่าวมาสัมภาษณ์ แต่ในข่าวนั้นมองพระเอกในทางแง่ลบ ทำให้พระเอกต้องโดนจับกุม และถูกสอบสวน ต่อมาไม่นานตัวร้ายก็ได้กลับมา และทำให้เกิดการต่อสู้กัน จึงทำให้เหล่าด็อกเตอร์ต้องออกประชุม และทำการต่อสู้ ต่อมาพระเอกได้กลับไปบ้าน และเขาไปดูป้าเมย์ว่าปลอดภัยดีหรือไม่ เมื่อเขาพบกับป้าเมย์ก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาทันที เพราะว่าป้าเมย์ยังปลอดภัยอยู่ แต่แล้วไม่นาน เหล่าศัตรูก็ได้มาที่บ้านของเขา ทุกคนก็ได้ต่างต่อสู้กัน ทำให้พวกเขาต่อสู้กับด็อกเตอร์ตัวร้ายไม่ได้ แต่มนุษย์ทรายได้เห็นท่าไม่ดีเลยหลบหนีไปก่อน

และพระเอกก็ยังต่อสู้จนทำให้เหล่านักข่าวเห็น และได้ถ่ายทอดสดผ่านสื่อต่างๆ ต่อมาไม่นานเมื่อพระเอกได้ต่อสู้กับศัตรู ศัตรูอีกตัวนึงได้รอบไปทำร้ายป้าเมย์จนเสียชีวิต นักข่าวก็ได้ออกประกาศ ว่าป้าเมย์ได้เสียชีวิตแล้ว เพื่อนของพระเอก เมื่อรู้ข่าวก็ได้รีบติดต่อหาพระเอกทันที แต่ว่าติดต่อไม่ได้ ทำให้พวกเขาต่างไม่สบายใจ พวกเขาจึงได้ออกไปตามหาพระเอก และคิดได้ว่าพระเอกชอบไป ที่ด่านฟ้าของโรงเรียน พวกเขาจึงได้พากันไป และพบพระเอก พวกเขาจึงรีบเขาไปกอดพระเอก และเพื่อนของเขาก็ได้แนะนำให้รู้จักกับ ปีเตอร์ทั้งสองคน จากนั้นพวกเขาก็ได้ร่วมมือกัน กลับไปทำยารักษาวายร้าย เพื่อที่จะไปต่อสู้กับศัตรู  ในเวลาต่อมา เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พวกเขาก็ได้ออกไปต่อสู้กับศัตรู จนในที่สุดเหล่าศัตรูก็พ่ายแพ้ และพระเอกก็ได้ ไปให้ด็อกเตอร์ เพื่อให้เขาช่วยลบล้างความทรงจำของมนุษย์ทุกคน ว่าสไปเดอร์นั้นเป็นใคร หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ อีกครั้ง

นี้เป็นเพียงการสปอยบางส่วนเท่านั้น เพราะอยากให้เพื่อนๆได้เข้าไปดูตัวเต็มมากกว่า โดยภาพรวม Spider Man : No Way Home ยังคงรักษามาตรฐานของหนังฮีโรในแบบฉบับของ Marvel ได้อย่างครบถ้วน แต่นอกจากหนังเรื่องนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญของการเดินทางสู่มัลติเวิร์สอย่างเต็มตัวแล้ว หนังเรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นหนังที่แฟนบอย สไปเดอร์-แมนไปดูยังไงก็ไม่ผิดหวังค่ะ เพราะนอกจากเรื่องราวที่โตขึ้นและการที่เราจะได้เห็นพัฒนาการ และจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อชีวิตของปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ที่กลายเป็นซูเปอร์ฮีโรแบบเต็มตัว และเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก ๆ

Ratter | แอบดูมรณะ (2016)

Ratter (2016)

Ratter ทุกวันนี้เทคโนโลยีไปไกลมากค่ะ และมันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เรารู้ซะอีก ซึ่งก็แน่นอนว่ามันมีทั้งมุมที่ดี และมุมที่อันตราย ว่าง่ายๆ คือจะใช้ช่วยคนก็ได้ หรือจะใช้มันกระทำอาชญากรรมก็ยังได้ และหนังเรื่องนี้ได้แสดงให้เราได้เห็นถึงภัยของเทคโนโลยีค่ะ ถ้าเพื่อนๆอยากรู้ว่าภัยนี้จะเป็นยังไง เราไป ดูหนังออนไลน์ฟรี หรือจะลองอ่านก่อนดูก็ตามไปอ่านต่อด้านล่างเลยค่ะ

Ratter

Ratter หรือชื่อไทย แอบดูมรณะ ภาพยนตร์แนว ระทึกขวัญ Thriller กำกับโดย Branden Kramer เรื่องย่อ เอ็มม่าเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่อายุน้อยและสวยงามเพียงแค่เริ่มต้นชีวิตใหม่ในนิวยอร์กซิตี้ เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่อายุของเธอเธอเชื่อมต่ออยู่เสมอ โทรศัพท์และแล็ปท็อปของเธอเป็นเพื่อนตลอดเวลาบันทึกช่วงเวลาที่ใกล้ชิดที่สุดของเธอ สิ่งที่เธอไม่รู้คือเธอกำลังแบ่งปันชีวิตของเธอกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญและอันตราย แฮ็กเกอร์กำลังติดตามเอ็มม่าทุกการเคลื่อนไหว เมื่อความตื่นเต้นในการแอบดูเธอแบบดิจิทัลไม่เพียงพอสถานการณ์ก็ทวีความรุนแรงและน่าสะพรึงกลัว

หนังเปิดเรื่องมาที่หญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีนามว่า เอ็มม่า เธอเดินทางเข้ามาใช้ชีวิตคนเดียวในนิวยอร์ก และต่อมาเธอก็เริ่มรู้สึกได้ถึงการคุกคามจากใครบางคน ซึ่งกำลังเฝ้ามองดูเธออยู่จากกล้อง ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น มือถือ โน้ตบุ๊คของเธอเอง การมองนางเอกใช้ชีวิตกิจวัติประจำวันของเธอไปเรื่อยๆ ทำอาหาร ออกกำลังกาย เต้น เรียนหนังสือ มีเพื่อน มีแฟน โน้นนี้แอบมองเธอไปเรื่อยๆ ภาพในหนังจะเสมือนว่าเราคือแฮคเกอร์ที่กำลังตามดูชีวิตนางเอกอยู่นั่นแหละ ดูไปเรื่อยๆ ด้วยความอดทน และพอช่วงท้ายๆ นางเอกเริ่มรู้ตัวว่ามีอะไรแปลกๆ ชีวิตเริ่มถูกคุกคาม เธอก็พยายามคิดว่าใครนะที่พยามแกล้งเธออยู่ แฟนเก่า? แฟนใหม่? หรือเพื่อนคนไหน? เราซึ่งเป็นคนดู ก็ลุ้นตามนางสิคะ ว่าใครวะ? ใครตามนางอยู่? ใครโกหก? แล้วจะเป็นไงต่อไป? เกิดความคาดหวังว่าตอนจบจะได้รู้ซักทีว่าคนร้ายคือใคร สุดท้าย นางเอกกลัวมาก ไม่อยากอยู่ที่ห้องนี้ต่อก็เลยจะย้ายห้องหนี แต่แล้วคืนนั้นเอง ระหว่างที่นางเอกกำลังคุยskypeกับแม่ อยู่ๆก็มีไอ้โม่งชุดดำ เดินเข้ามาจากด้านหลัง ปิดปากเธอแล้วลากเธอออกไป พร้อมกับเสียงโวบวายของแม่นางเอกว่า ให้ปล่อยลูกสาวชั้นไปเถอะ แกทำแบบนี้ทำไม แกต้องการอะไร สุดท้าย ไอ้โม่งก็เดินมาปิดจอ ภาพตัด จอดำ แล้วหนังก็ตัดจบค่ะ

การเดินเรื่อง ถ้าให้ว่าตามจริงก็จัดว่าอืดอยู่ค่ะ เพราะหนังไม่ได้เน้นความระทึกหรือลึกลับ แต่ถ่ายทอดออกมาประหนึ่งว่าเราคือแฮคเกอร์ที่แอบดูนางเอก นั่งดูเธอไปผ่านกล้องต่างๆ ดังนั้นส่วนใหญ่ในเรื่องเราก็จะเห็นนางเอกทำกิจวัตรต่างๆ เป็นหลักอันว่าความตื่นเต้นระทึกนั้น เอาเข้าจริงกว่าจะมาก็ครึ่งหลังค่อนไปทางท้ายๆ เลยค่ะ เมื่อนางเอกเริ่มผวาและระแคะระคาย ความกลัวเริ่มก่อตัว ความลุ้นก็ค่อยโผล่มาอีกทีในตอนท้ายพูดแบบไม่อ้อมค้อมก็คือ มีแอบเบื่ออแอบง่วงบ้างค่ะ เพราะมันไม่ใช่หนังสืบสวน ไม่ได้มีอะไรให้ระทึก ยกเว้นตอนท้ายที่เรื่องราวขมวดจบลง แต่นอกนั้นก็คือเราดูนางเอกนั่งๆ นอนๆ กินๆ เดินๆ ออกกำลังๆ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น จริงๆ ก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าหนังใส่บทสนทนาที่น่าสนใจ หรือเจาะลึกเรื่องเกี่ยวกับพวกแฮคเกอร์แบบนี้ให้มากขึ้น หรือใส่เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการระวังป้องกันภัยทางโซเชียลหรืออินเตอร์เน็ตให้มากขึ้น หนังก็อาจน่าสนใจกว่าที่เป็นค่ะ

แต่ผลที่ได้คือ หนังออนไลน์ เรื่องนี้ค่อนข้างจะเรื่อยๆ จะมีประเด็นสาระบ้าง แต่ก็ไม่มากจนถึงระดับที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจต่อคนดูได้ ขอบอกตรงๆว่า เป็นหนังที่ดูรอบเดียวก็พอแล้วค่ะ