Crack Cocaine Corruption and Conspiracy สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะขอพูดถึง สารคดี จาก เว็บดูหนังออนไลน์ Netflix ค่ะ ช่วงหลังๆมานี้ทาง Netflix ได้ลงแนวสารคดีบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นแนว อาชญากรรม ชีวประวัติศาสตร์ หรือ อาหาร ก็มีมากมายให้เราได้ดูกัน ใครที่คิดว่า “สารคดี” จะต้องน่าเบื่อแน่ ๆ ต้องหยุดก่อนเลยนะ เพราะสารคดีที่มีบน Netflix เนี่ย สนุกๆ ทั้งนั้น เช่นเดียวกับ สารคดีเรื่องนี้ ที่เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ Crack Cocaine Corruption and Conspiracy หรือชื่อไทย ยุคแห่งแคร็กโคเคน
กำกับโดย สแตนลี่ เนลสัน สารคดี Documentary เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับในต้นทศวรรษที่ 1980 เกิดการกระจายของรอยร้าวที่ทำลายเมืองของอเมริกา เช่นสึนามิที่ทำให้ทุกคนแตกตื่น และในหลายทศวรรษต่อมาก็มีผลกระทบในด้านการทำลายล้างต่อชีวิตของผู้คนครอบครัวและชุมชนยังคงฝังลึก รอยแตกโคเคนการทุจริตและการสมรู้ร่วมคิดไม่เพียง แต่ตรวจสอบความหายนะส่วนบุคคลที่เกิดจากยาเสพติด แต่ยังรวมถึงต้นกำเนิดที่เป็นเงาของวิกฤตและผลที่ตามมาการทำให้คนผิวดำและบราวน์ถูกขังโดยเรือนจำของสหรัฐฯ
ปี 1980 เรแกนได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีจากคะแนนโหวตที่ท่วมท้นของคนทั้งประเทศ ด้วยนโยบายที่กระตุ้นตลาดเสรีที่จะช่วยยกระดับผู้คนจากความยากจน เขาทำได้สำเร็จอย่างงดงาม เมื่อทั้งอเมริกาต่างมีชีวิตชีวา เฉลิมฉลองกับเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง และสิ่งที่ตามมาคือ โคเคน ยาเสพติดที่ให้ฤทธิ์เคลิบเคลิ้ม มีเสน่ห์ ผู้คนเต้นรำตลอดเวลา บางคนไม่กลับถึง 3 วัน แค่ดื่มน้ำและลุกขึ้นต่อ มันคือยาเสพติดเพื่อเข้าสังคมของคนชั้นสูง มันเริ่มแทรกซึมเข้าไปในวงการวอลสตรีท ชายหนุ่มที่นั่นเครียดตลอดวัน การได้เสพมันก็เป็นทางออกหนึ่งที่ทำให้ผ่อนคลาย นาโกต้า แม็ก มามา วิลเลียมส์ นักเขียนสาววิเคราะห์ว่า หนังเรื่อง Scarface ในปี 1983 ที่นำแสดงโดย อัล ปาชิโน่ ทำให้การเสพโคเคนเป็นที่นิยมมากขึ้น วัยรุ่นและวัยทำงานในยุคนั้นจะเข้าไปในคลับพร้อมกับเงินหลายร้อยดอลลาร์และเลียนแบบฉากเสพยาในหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เท่ห์มากในช่วงเวลานั้น เพราะมันเหมือนกับว่า คนมีตังค์คูลๆ เขาก็ทำก้นแบบนี้ทั้งนั้น โคอี้ โรดริเกซ นักประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม สรุปว่า ในสมัยนั้นโคเคนเป็นของฟุ่มเฟือย มันเหมือนกับคนขับรถเบนซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยูคือกลุ่มคนที่สูดโคเคน คนผิวสีในแหล่งเสื่อมโทรมไม่มีปัญญาเอื้อมถึงเพราะมันแพงเกินไป ปี 1982 นโยบายของเรแกนคือการเพิ่มความมั่งคั่งสำหรับคนไม่กี่คน ด้วยการสูญเสียคนจำนวนมาก รัฐบาลชุดนี้เอาคนออกจากโครงการสวัสดิการห้าแสนคน ออกจากโครงการแสตมป์อาหารหนึ่งล้านคน เอาเด็กอเมริกันออกจากโครงการอาหารกลางวัน 2.6 ล้านคน ส่งผลให้ชนชั้นแรงงานเข้าสู่สภาวะยากจนแสนสาหัสเพิ่มขึ้นหลายล้านคน
ระหว่างปี 1982 ถึง 1984 ปริมาณโคเคนที่เข้ามาในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 63 ตัน ผลที่ตามมาของการลุกลามของโคเคนครั้งใหญ่นี้คือราคาตก เมื่อราคาตก ผู้คนก็เข้าถึงมันง่ายขึ้น ยาเสพติดที่เหมือนเป็นของฟุ่มเฟือยของคนรวย กลับเป็นภัยคุกคามของทุกชนชั้น สื่อมวลชนต่างตั้งคำถามว่ารัฐบาลเข้มงวดกับปัญหานี้มากแค่ไหน หรือตั้งใจปล่อยปละละเลยเพื่อผลประโยชน์บางอย่างหรือเปล่า ไม่นานก็มีข่าวใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศ ริชาร์ด ไพรเออร์ นักเขียนและนักแสดงตลกชื่อดังเสพโคเคนด้วยการจุดไฟสูบจนเกิดอุบัติไฟไหม้บางส่วนในร่างกาย ซึ่งผลที่ตามมาคือคนรู้ว่าโคเคนสามารถเสพด้วยวิธีนี้ได้ด้วย แต่มันต้องผสมหลายขั้นตอน ผู้เสพจึงไม่อยากเสียเวลาก็เลยซื้อแบบที่ผสมมาแล้ว โคเคนชนิดนี้เรียกว่า “แคร็ก” มันทำให้สารเสพติดพุ่งตรงเข้าสมองทันที ซึ่งแปลง่ายๆ ได้ว่าเป็นวิธีเสพที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ย้อนกลับมาที่เรแกน เขาออกนโยบายปราบยาเสพติดอย่างหนัก แนนซี่ ภรรยาของเขาและสตรีหมายเลขหนึ่งมีบทบาทกับการปราบยาเสพติดเป็นอย่างมา ด้วยวลีฮิตติดหูว่า “Just Say No” เพียงแค่คุณปฏิเสธ หายนะก็ไม่บังเกิด ซึ่งถ้ามองผิวเผินก็ดูเหมือนจะสวยหรูและได้ผล แต่นั่นเป็นเพียงปลายเหตุ อีกทั้งด้วยความที่เรแกนเป็นพวกเหยียดผิว ผู้ร้ายในการแพร่หลายของยาเสพติดในครั้งนี้คือคนผิวสี ทุกข่าวหัวค่ำเต็มไปด้วยภาพและวิดีโอที่ตำรวจบุกจับคนผิวสีในข้อหาเสพและขายยา ซึ่งพูดตามตรงก็คือเป็นการสร้างมายาคติให้คนผิวสีเป็นอาชญากรรมที่รกโลกและต้องรีบกำจัดเข้าคุกโดยด่วน
เป็น สารคดีNetflix ที่เราดูแล้วรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยาเสพติดหรือการที่ต้องมีเซ็กซ์ เพื่อแลกกับยา แค็รกโคเคน คือ เครื่องมือที่รัฐและสื่อร่วมกันสร้างโฆษณาชวนเชื่อให้คนผิวสีดูเป็นขยะสังคม และมันยิ่งรุนแรงมากขึ้น